วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

Puritan's Pride Natural Astaxanthin 10 mg / 60 Softgels หาซื้อ ราคาพิเศษได้ที่นี่

Puritan's Pride Natural Astaxanthin 10 mg  / 60 Softgels



Puritan's Pride Natural Astaxanthin 10 mg  / 60 Softgels   อาหารเสริมที่มีสารแอสตาแซนทิน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ  ป้องกันการเสื่อมของเซลล์จากการกระทบของสารอนุมูลอิสระ  ช่วยสนับสนุนสุขภาพร่างกายให้มีสุขภาพดี



Powerful Antioxidant**
Suited for Stressful Lifestyles**
Astaxanthin promotes antioxidant health, which helps fight the cell damaging free radicals that can lead to oxidative stress which may contribute to the premature aging of cells.**
No Artificial Color, Flavor or Sweetener, No Preservatives, No Sugar, No Starch, No Milk, No Lactose, No Soy, No Gluten, No Wheat, No Yeast, No Fish. Sodium Free. 

Supplement Facts

Serving Size 1 Softgel
Amount Per Serving% Daily Value
Astaxanthin10 mg *
  (from Haematococcus pluvialis)
*Daily Value not established.

Directions: For adults, take one (1) softgel daily, preferably with a meal. 

Other Ingredients: Sunflower Seed Oil, Gelatin, Vegetable Glycerin. 

WARNING: If you are pregnant, nursing, taking any medications or have any medical condition, consult your doctor before use. Discontinue use and consult your doctor if any adverse reactions occur. Keep out of reach of children. Store at room temperature. Do not use if seal under cap is broken or missing.

หมายเหตุ  ผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวข้างต้นไม่ใช่ ผลิตภัณฑ์ที่จัดว่าเป็นยา จึงไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษาโรคใดๆได้  และการได้รับสารอาหารต่างๆควรได้จากการบริโภคอาหารหลักที่หลากชนิด ครบทั้ง 5 หมู่ เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะ    และผลการใช้อาจให้ผลที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล

หาซื้อ Neocell Super Collagen + C 6000 mg biotin Plus /360 Tabs ได้ที่นี่

Neocell Super Collagen + C 6000 mg biotin Plus /360 Tabs

ราคา 1390 บาท
New Product 2015 จากบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าพ่อคอลลาเจนจาก Neocell คอลลาเจนเกรดพรีเมี่ยม การันตีจากการขึ้นทะเบียนผ่านในอเมริกา ในระดับเกรด “Pharmaceutical Food Grade” ดีที่สุดในโลก…สูตรใหม่ล่าสุด เพิ่ม Biotin 5000 mcg บรรจุ 360 เม็ด !!! ผิวสวยตึงเปี๊ยะ หน้าเด็ก ผม เล็บแข็งแรง..ครบสูตร แถมเป็นสูตรที่ผนวกวิตามิน ซี เป็นส่วนประกอบ เทคโนโลยีแยกไทด์คอลลาเจนที่จำเพาะต่อผิวพรรณมนุษย์มากที่สุดคือเป็นแบบ ไทด์ 1 & 3 นี่แหละคือสิ่งที่เรียกสิทธิบัตรทรงคุณค่า กับผลงานการวิจัยจาก Neocell Corp. ที่มีมามากกว่า 35 ปี
Neocell Super Collagen + C 6000 mg biotin Plus 360  Tabs
1.    HYDROLYZED COLLAGEN TYPE 1&3 : ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน***ที่ สำคัญมากกว่า 19 ชนิด ที่ช่วยรักษาและปรับระดับคอลลาเจนของผิวหนังและร่างกาย รวมถึงการเสริมสร้างผิวหนังในระดับเชิงลึกที่เรียกว่า Rebuilding the skin matrix อีกด้วย
2..    BIOTIN: ช่วยบำรุงรากผม เส้นผม เล็บและผิวหนังถือว่าเป็นอาหารสำหรับโครงสร้างเส้นผม และเล็บอย่างแท้จริง
3.     Vitamin C: เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมคอลลาเจนและเสริมการสร้างคอลลาเจนอย่างรวดเร็ว ลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ที่เป็นปัญหาของจุดด่างดำ และการเกิดฝ้ากระ อีกทั้งยังถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มากมายทั้งเรื่องผิวพรรณที่โดเด่นและสุขภาพ
Neocell super collagen + C biotin 360 tabทำความเข้าใจว่า ” Collagen คืออะไร “
คอลลาเจน (Collagen) มี รากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla แปลว่า “กาว” เพราะเป็นโมเลกุลของโปรตีนที่มี Polypeptide 3 สายประกอบกันเป็นเกลียวเส้นใย มีหน้าที่สำคัญในการเชื่อมและยึดจับเซลล์เนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน เช่น เส้นเอ็น ข้อต่อกระดูกต่างๆ รวมถึงช่วยเสริมการสร้างเนื้อเยื่อและเส้นเลือด สามารถพบได้ทั่วไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีปริมาณถึงร้อยละ 33 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย ผิวหนังเราทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกายต้องสัมผัสกับแดดจ้าฝุ่นควัน พิษ ต่างๆ นาๆ ไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณแห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึกสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อน เวลาและวัยอันควรปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ก็คือ คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่ว ไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกายโดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75%

neocell collagen beauty (25)
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัด เป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง เนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments) เส้นผม เล็บ ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน (collagen) ว่า “กาวแห่งชีวิต” เพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกันรวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิว หนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน (collagen) ยังมีส่วน ช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบ เนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน (collagen) กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม
neocell collagen beauty (22)
การสังเคราะห์คอลลาเจนเกิดในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีเซลล์ชื่อไฟโบรบลาสท์(Fibroblast) กระจายอยู่ทั่วและทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญต่อผิว 3 ชนิดคือ
1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และ
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เอิบอิ่ม โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว
Neocell Super Collagen + C 6000 mg biotin Plus 360  Tabs
 Collagen มีกี่แบบ
จากข้อมูลทางวิชาการจะเห็นว่าใน ปัจจุบันแบ่งคอลลาเจนออกเป็น 29 รูปแบบ แต่มากกว่า 90% ของคอลลาเจนใน ร่างกายจะมีอยู่ใน 4 รูปแบบต่อไปนี้ ในวัยเด็กเราจะมีคอลลาเจน Type III มากที่สุดผิวของเด็กจึงดูนุ่มเนียน เต่งตึงสะดุดตากว่าวัยไหนๆ แต่เมื่อเราโตขึ้นคอลลาเจน Type I ก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่ จน กระทั่งอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ โดยลดลงในอัตรา 1.5% ต่อปี เมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึ้นใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณแห้งกร้านตามมา นอกจากการเสื่อมสลายไป ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น เช่น รังสียูวีจากแสงแดด บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารปนเปื้อนในอาหาร อนุมูลอิสระ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น
Neocell super collagen + C biotin 360 tab 2Collagen กับสุขภาพ
มีหลายอย่างกับความเข้าใจอันถูกต้องเนื่องจาก คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของกระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อ ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว ส่วนต่างๆ ในร่างกาย นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่ร่างกายมีคอลลาเจน อย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคข้อต่ออักเสบ รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น นักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆ เป็นต้น ทั้งนี้การรับประทานคอลลาเจนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีน แต่เนื่องจากร่างกายคนเรามีปัจจัยแตกต่างกัน เช่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยลง หรือไลฟ์สไตล์เร่งรีบที่ทำให้คนเรามีความเครียดสูง ต้องเผชิญกับมลพิษรอบตัว ไม่มีเวลารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ฯลฯ ก็ล้วนทำให้ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพอกับความต้องการได้ทั้งสิ้น การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดจึงได้รับความนิยม มากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีขั้นตอนการย่อยน้อยกว่าเนื้อสัตว์
neocell collagen beauty (11)

Collagen กับผิวพรรณ

นอกจากคอลลาเจนจะถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดการอักเสบของผิวหนัง ใช้เป็นไหมละลายในการผ่าตัด ใช้เป็นสารบุร่องเหงือกและใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว ในวงการผิวพรรณและความงามก็นำคอลลาเจนมาใช้เป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลายเช่น กัน อาทิ สกินแคร์ที่มีสารไมโครคอลลาเจน (Microcollagen) และวิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสท์ หรือ การฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง (Collagen Replacement Therapy) ซึ่งทำให้ผิวเรียบตึงขึ้นได้ทันตา แต่ต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6 เดือน และอาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น เกิดตุ่มนูนเรื้อรังจากการฉีดในปริมาณมากเกินไป หรือเกิดอาการแพ้คอลลาเจนได้ จึงควรทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีดเสมอ ส่วนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวย นิยมใช้คอลลาเจน Type I ที่สกัดจากปลาทะเล (Bio-marine Collagen) เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์มากที่สุด ซึ่งมักนำมาตัดพันธะเคมีด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้มีโมเลกุลเล็กลงและ ง่ายต่อการดูดซึม เรียกว่า ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) หรือ คอลลาเจน ไฮโดรไลเสท (Collagen Hydrolysate) ถือเป็นทางหนึ่งที่ช่วยเสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการหลับ ต่อมพิทูอิตารีในสมองจะหลั่งโกรว์ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) สู่กระแสเลือดเพื่อฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีคอลลาเจนเพียงพอก็จะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ สึกหรอได้ดียิ่งขึ้น และยังมีผลทางอ้อมต่อการลดน้ำหนักไปพร้อมกัน กล่าวคือเมื่อร่างกายมีการสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นด้วย การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการรับประทาน อาหารประเภทโปรตีนในปริมาณมากก่อนเข้านอน
neocell collagen beauty (47)
Collagen กับตัวช่วย
ยังมีอีกหลายตัวช่วยที่ยืดอายุคอลลาเจนให้อยู่กับเราได้นานขึ้น
• รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม นอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรเน้นผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เพราะมีคุณสมบัติปกป้องและเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนและอิลาสตินได้ดี
• คงความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ยิ่งผิวสูญเสียความชุ่มชื่นมากเท่าไหร่ ริ้วรอยถาวรก็ปรากฏเร็วขึ้นเท่านั้น จึงควรชะลอวัยให้ผิวด้วยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน โปรคอลลาเจน อิลาสติน เอเอชเอ หรือเรตินอล ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ใช้ชีวิตอย่างพอดี ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ดีเพียงไร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบหมู่ และทำจิตใจให้แจ่มใส ก็ยังเป็นวิธียืดอายุคอลลาเจนที่สำคัญที่สุด หากรักษาสมดุลการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมแล้ว สุขภาพดีและผิวพรรณอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราไปอีกนานแน่นอน
• อีกหนึ่งส่วนผสมตัวสำคัญที่อยู่ใน Super Collagen ชนิดเม็ดของ Neocell คือสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีโดยที่ตัววิตามินซีนั้นมีประโยขน์มาก มายมหาศาลแต่การที่มีส่วนผสมของวิตามินซีนั้นจะชักนำให้คอลาเจนมีการทำงาน การสร้างได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ยังช่วยปกป้องและบำรุงผิวพรรณให้ดูใส กระจ่างอีกด้วย
Collagen-C-360- neocell biotinการสูญเสีย คอลลาเจน (collagen)
น่าเสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเราเมื่อ มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจน (collagen) จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปีและเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหรือที่เป็นปัญหา เรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน (collagen) ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึงก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะ ค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปีผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็น เงาตามตัว
อัตราการเริ่มสูญเสียคอลลาเจน (collagen) เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป
– อายุ 30-39 ปี ผิวจะเริ่มมีรอยย่นบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่างและหางตาจะเห็นชัดเวลายิ้มและมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้วซึ่งจะเห็น ชัดเวลาหน้านิ่ว มีริ้วรอยบางๆ ที่ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจเกิดไฝ กระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้นขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น
– อายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้ม และร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก มีฝ้าชนิดลึกมากขึ้นสภาพผิวเริ่มแห้งมีรูขุมขนใหญ่และเริ่มจะเป็นสิวอีก ครั้ง มีติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
– อายุ 50-64 ปี ผิวจะมีสภาพเหมือนกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น
– อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปากบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คล้ายกับวัย 50-64 ปี
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้อง เกิดขึ้นกับ ทุกคนโดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่ สุดได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้ สารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เพื่อทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป
การทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป
การนำสารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิวและลดริ้วรอยนั้นปกติทำได้ 2 วิธีคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้และการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มากดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนัง ได้ด้วยการทา ซึ่งครีมบำรุงผิวต่างๆ ตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน (collagen) ก็ จะเป็นเพียงการผลัก คอลลาเจน (collagen) ให้เข้าไปอยู่ได้แค่ชั้นผิวหนังกำพร้า แต่เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) มีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักจึงทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้นเท่านั้นจึงไม่สามารถ แก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากจะเปรียบเทียบระหว่างการฉีดคอลลาเจน (collagen) เข้าใต้ผิวหนังกับการรับประทานแล้ว จะพบว่า วิธีการรับประทานนั้นง่ายและสะดวกมากกว่าการฉีด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
บุคคลใดควรรับประทาน คอลลาเจน (collagen)
คอลลาเจน (collagen) เหมาะ สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือ เสื่อมสภาพลงเนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไปและควรศึกษาคำเตือนบนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ก่อนการรับประทาน
super-collagen-c-biotin-360 neocell……………………………………………………………………………………………………

ไบไอติน (Biotin) หรือวิตามิน H

***Biotin ไบโอ ติน ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างกรดไขมัน ซึ่งเสริมสร้างสุขภาพของต่อมเหงื่อ เซลล์เม็ดเลือด ผิวหนัง และเส้นผม ให้ทำงานเป็นปกติ ใช้เสริมการรักษาผู้ป่วยเล็บเปราะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมกระบวนการสร้างเคอราติน ซึ่งเป็นสารสำคัญ ที่พบในผิวหนัง ผม และเล็บ ผิว ผม ช่วยให้เล็บไม่เปราะ หรือฉีกขาดง่าย ช่วยให้ผิวและผมมีสุขภาพดี ไม่แห้ง หรือแตกปลาย
ไบไอติน (Biotin) หรือวิตามิน H เป็นวิตามินที่ละลายน้ำ อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับวิตามิน บี (Vitamin B) ผลึกของไบโอตินเป็นรูปเข็มยาว ในธรรมชาติมักเกิดรวมอยู่กับกรดอะมิโนไลซีน (lysine) ไบโอตินเป็นสารจำเป็นในการเติบโตของยีสต์และจุลินทรีย์หลาย ชนิด ในปี ค.ศ. 1936 นักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ได้คิดแยกไบโอตินออกจากอาหาร และต่อมาได้มีผู้วิเคราะห์หาสูตรโครงสร้างและสังเคราะห์ไบโอตินได้สำเร็จใน ปี ค.ศ. 1943
แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของเราที่เรียกว่า นอร์มอลฟอร์ร่า (Normal Flora) ซึ่งเป็น probiotic จะ สามารถสร้างวิตามินไบโอติน เพื่อใช้ประโยชน์ในร่างกายของเราได้ รวมถึงในอาหารที่รับประทาน จึงไม่ค่อยพบปัญหาการขาดไบโอตินในคน มีบ้างในกรณีของผู้ที่รับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียอยู่เป็นประจำ ซึ่งยาฆ่าเชื้อดังกล่าวจะเข้าไปทำลาย แบคทีเรียนอร์มอลฟอร์ร่าในลำไส้ใหญ่
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่นิยมรับประทานไข่ดิบ ซึ่งในไข่ดิบนั้นจะมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ โปรตีน อะวิดีน (Avidin) ที่มีคุณสมบัติในการรวมกับไบโอตินในอาหาร หรือลำไส้ เกิดเป็นสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้ลดการดูดซึมวิตามินไบโอตินดังกล่าว เข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของเราขาดวิตามินไบโอตินได้อีกทางหนึ่งด้วย
biotin neocell collagenอาการของผู้ที่ขาดวิตามินไบโอติน (The symptom of defficiency)
1. หมดเรี่ยวแรง (Fatigue) เจ็บปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Pain)
2. คลื่นไส้อาเจียน (Nausea) หรือความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร (Loss of Appetite)
3. มีอาการทางระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ (Insomnia) ภาวะซึมเศร้า (Depression) ประสาทหลอน (Hallucination)
4. ผิวแห้ง (Dry Skin) เป็นผื่นคัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา จมูก ปาก และบริเวณอวัยวะเพศ ผิวคล้ำและเป็นจ้ำ การรับสัมผัสทางผิวพรรณผิดปกติ (Sensitivity to touch)
5 อาการผมร่วง (Hair Loss)
6. ระบบการเผาผลาญไขมันเกิดความบกพร่อง ส่งผลให้ไขมัน โคเลสเตอรอลในเลือดสูง (Increase in cholesterol) และการเผาผลาญไขมันน้อยลง
***กลไกของไบโอติน (Biotin) จะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เรียกว่า โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ซึ่ง ได้แก่
1. เป็น โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในขบวนการเผาผลาญไขมัน (Fat Metabolism) ช่วยให้ร่างกายสามารถนำไขมันมาใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น และนำไขมันมาสร้างเป็นกรดไขมัน (Fatty Acid) ที่เป็นสารตั้งต้นของสารสำคัญในร่างกายอื่นๆ ได้ดีขึ้น
2. เป็น โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในกระบวนการสร้างสาร ไพริมิดีน (Pyrimidine) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายนำไปใช้สร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic Acid) หรือ ดีเอ็นเอ (DNA) และ อาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งเป็นสารทางพันธุกรรมต่อไป
จากกลไกการทำงานของไบโอตินทำให้เราทราบว่า ในขบวนการแบ่งเซลล์ หรือเพิ่มจำนวนเซลล์ มีความจำเป็นที่เซลล์ใหม่จะต้องมีสารพันธุกรรม ดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านั้น จำเป็นที่จะต้องใช้วิตามินไบโอติน ในการสร้างสารตั้งต้นเสมอ ดังนั้นหากขาดวิตามิน ไบโอติน ดังกล่าว ย่อมทำให้ขบวนการในการสร้างเซลล์ใหม่เกิดภาวะบกพร่องได้ ตัวอย่างอวัยวะที่ต้องเซลล์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา คือ เซลล์ผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ ยิ่งจะปรากฎภาวะความบกพร่องได้ง่ายและชัดเจนขึ้น เช่น อาจทำให้เกิดภาวะผมร่วง (Hair Loss) ภาวะผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) นอกจากนี้ ในสตรีมีครรภ์ที่เซลล์ตัวอ่อนทารกมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วก็ต้องการไบโอติ นมากขึ้นสำหรับการสร้างสารพันธุกรรมอีกด้วย

แหล่งของ ไบโอติน (Biotin) ในอาหาร

Biotin พบได้ในอาหารหลายประเภท แต่มักจะพบในปริมาณที่น้อยกว่าวิตามินที่ละลายน้ำได้ชนิดอื่น ๆ อาหารที่มีไบโอตินมากที่สุด ได้แก่ ตับ ไต นม ไข่แดงและยีสต์ นอกจากนี้ยังมีมากในผักและผลไม้สดหลายชนิด อาหารที่มีไบโอตินน้อยมาก คือ เนื้อสัตว์ เมล็ดธัญพืชและผลิตผลจากข้าวและแป้ง

ประโยชน์ของไบโอติน

ไบโอติน เป็นสารที่มีความจำเป็นต่อขบวนการเมตาโบลิซึม หรือการเผาผลาญพลังงานจากทั้งคาร์โบไฮเดรต(แป้ง น้ำตาล) และโปรตีน ซึ่งในแต่ละวันร่างกายคนเราถ้าขาดไบโอตินไป หรือหากได้รับไบโอตินไม่เพียงพอนั้น ขบวนการใช้พลังงานต่างๆ ในร่างกายอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ และแน่นอนว่าผลที่ตามมาคือ ภาวะผมร่วง ผมบาง เล็บเปราะ ฉีกขาดง่าย
จากผลการวิจัยพบว่าคนที่ขาดไบโอตินส่วนใหญ่ มักจะประสบปัญหาผมหงอกก่อนวัย ผมหลุดร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เล็บเปราะหักง่าย ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังมีสีเทา หรือแม้แต่อาการอ่อนเพลีย โลหิตจาง และมีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งบางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรืออาจมีอาการซึมเศร้าได้ด้วย
การขาดไบโอติน กับภาวะผมร่วง !!
หากขยายความปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเส้นผมอันเนื่องมาจากภาวะขาดไบโอตินแล้ว ผลที่ตามมานั่นหมายถึง ภาวะผมร่วงมากผิดปกติ อาการหนังศีรษะอักเสบ ผมขาวก่อนวัย ผมขึ้นใหม่ผิดปกติ ผมเปราะ ผมแตกปลาย รังแค รวมไปถึงความผิดปกติอื่นๆ ของเส้นผม และหนังศีรษะที่อาจเกิดขึ้นได้
เมื่อร่างกายได้รับไบโอตินอย่างพอเพียง ไบโอตินจะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของการสร้างน้ำตาล, กรดอะมิโน และกรดไขมัน ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างพลังงานระหว่างการออกกำลังกาย หรือการทำกิจวัตรประจำวันใดๆ นอกจากนี้ไบโอตินยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับรากผม หนังศีรษะ เส้นผม เล็บ และความเรียบของผิวหนังอีกด้วย
นอกจากการขาดไบโอตินจะมีผลทำให้ผมร่วงแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า, อ่อนเพลียเรื้อรัง, อาการชา, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ซีด และภูมิคุ้มกันลดลง อาการขาดไบโอตินรักษาได้โดยการให้วิตามินเสริม การใช้วิตามินไบโอตินสังเคราะห์นี้จะไม่ได้ผลดีและปลอดภัยเท่ากับ การได้รับวิตามินชนิดนี้จากอาหารสดธรรมชาติ อาจใช้ไบโอตินผสมในแชมพู ครีมนวดผม หรือโลชั่นเพื่อช่วยในการรักษาภาวะผมร่วง การใช้ไบโอตินเสริม ได้ผลดีในการช่วยการรักษาโรคของผิวหนัง ผมและเล็บ ทำให้อาการผมร่วงผื่นแพ้ที่หนังศีรษะ ผมเปราะบางขาดง่าย ผมแตกปลาย รากผมเสียหายดีขึ้นได้จริง

ผู้ที่ควรรับประทานวิตามินไบโอติน ได้แก่

* ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง
* ผู้ที่ดัด ย้อม ยืด โกรกทำสีผม เป็นประจำ ทำให้เกิดปัญหาเส้นผมไม่แข็งแรง หลุดร่วงง่าย
* ผู้ที่มีปัญหาเล็บเปราะ บาง ฉีกขาดง่าย
* ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดไบโอติน เช่น รับประทานยาปฏิชีวนะ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรียในลำไส้สร้างไบโอตินได้น้อย หรือผู้ที่รับประทานไข่ขาวดิบเป็นประจำ เนื่องจากสารเอวิดิน (Avidin) ในไข่ขาวดิบจะยับยั้งการดูดซึมของไบโอติน

ข้อแนะนำสำหรับขนาดการรับประทานไบโอตินในแต่ละวัน

*เพื่อลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม รับประทานวันละ 2,400 ไมโครกรัม (4 เม็ด)
*เพื่อบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานวันละ 1,200 ไมโครกรัม (2 เม็ด)
*เพื่อรักษาอาการเล็บเปราะบาง ฉีกขาดง่าย รับประทานวันละ 2,400-3,600 ไมโครกรัม (4-6 เม็ด)
*เพื่อป้องกันการขาดไบโอติน รับประทานวันละ 600-1200 ไมโครกรัม (1-2 เม็ด)

ไบโอติน แหล่งสารอาหารธรรมชาติ

โดยปกติมนุษย์เราได้รับไบโอตินจากสารอาหารธรรมชาติในชีวิตประจำวันอยู่ แล้ว โดยอาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์(Brewer’s yeast) นมสด ไข่แดง อาหารจำพวกตับ ตับวัว ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว, หอยนางรม, ปลา,น้ำมันปลา นมผึ้ง ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท กล้วย เป็นต้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

Puritan Odorless Garlic 1000 mg/ 250 Softgels ( Puritan’s Pride ) หาซื้อได้ที่นี่ ราคาพิเศษ

Odorless Garlic 1000 mg/ 250 Softgels ( Puritan’s Pride )

Odorless Garlic 1000 mg/ 250 Softgels ( Puritan’s Pride )
ราคา 990 บาท
สุดยอดน้ำมันจากกระเทียมชนิดไร้กลิ่น บำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย รักษา โรคเกี่ยวกับหัวใจ ช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือด เช่น ลดโคเลสเตอรอล  มีผลในการลดความดันโลหิตสูง ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่ม มากขึ้น และกระเทียมยังเปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ โรคมะเร็ง และช่วยต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
Puritan’s Pride Odorless Garlic 1000 mg/ 250 Softgels
เหมาะสำหรับ
  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันคอลเลสเตอรอลในร่างกายสูง
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดอุดตัน
  • ผู้ที่ต้องการเสริมและรักษาระบบการไหลเวียนของร่างกายให้มีสุขภาพดี
  • ผู้ที่มีประสบปัญหาสภาวะความดันโลหิตสูง
  • ผู้ ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และลดปัญหาอาการภูมิแพ้ เช่น หวัด ไข้หวัด หอบ หืด ไซนัส หูอักเสบ และ ลดอาการเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจ
  • ผู้ที่มีปัญหาสภาวะอาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องเฟ้อ ท้องอืด ปวดท้อง เสียดท้อง และ มีแผลของกระเพาะอาหาร
  • ผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี
รายละเอียดผลิตภัณฑ์
กระเทียมมีส่วนช่วยส่ง เสริมสุขภาพของหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติในกระเทียม ที่ให้คุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ และด้วยกรรมวิธีการผลิตแบบสกัดเย็นสามารถช่วยรักษาคุณสมบัติทางธรรมชาติที่ ดีที่สุด และช่วยลดกลิ่นได้เป็นอย่างดี
ผลิตภัณฑ์นี้ปลอดภัยมี คุณภาพสูง สามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว สกัดจากกระเทียมธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งสี ไม่มีสารให้ความหวาน ไม่มีสารกันบูด ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแป้ง ไม่มีนม ไม่มีแลคโตส ไม่มีโปรตีน กลูเตน Gluten ไม่มีส่วนผสมจากข้าวสาลี ไม่มียีส ไม่มีปลา และ ไม่มีโซเดียม

รู้จักกับกระเทียม

กระเทียม ภาษาอังกฤษ คือ Garlic ส่วนกระเทียม ชื่อ วิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum Linn.จัดเป็นสมุนไพรไทยและเครื่องเทศชนิดหนึ่ง ประโยชน์ ของกระเทียมที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็คือนิยมนำมาใส่อาหารเพื่อปรุงรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นผัด ทอด แกง ยำ ต้มยำ น้ำพริกต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีกระเทียมเป็นส่วน ประกอบแทบทั้งสิ้น
กระเทียม สรรพคุณทางยานั้นมีมากมาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี ธาตุซีลีเนียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี (โดยกระเทียม ถือว่าเป็นพืชที่มีธาตุซีลีเนียมมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ) นอกจากนี้ยังมีสารอะดิโนซีน ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย
การค้นคว้าและวิจัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับ สารสำคัญล้ำค่าของสมุนไพรกระเทียม ของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ทำให้เราทราบว่าธรรมชาติมีการผสมผสานสารสำคัญในกระเทียมไว้อย่างลงตัว อาทิเช่น
  •  สารประกอบซัลเฟอร์อย่างน้อย 33 ชนิด ซึ่งรวมถึง อัลลิซิน (Allicin) และ S-allylmercaptocystein
  •  กรดอะมิโนและไกลโคไซด์กว่า 17 ชนิด
  •  เอ็นไซม์หลากหลายชนิด
  •  เกลือแร่ โดยเฉพาะ เซเลเนียม (Selenium)
โดยสารสำคัญเหล่านี้ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้กระเทียมมีคุณประโยชน์มากมายแก่ร่างกาย เป็นเสมือนยารักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โดยช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือด เช่น ลดโคเลสเตอรอลชนิดรวม และแอล ดี แอล โคเลสเตอรอล จึงเหมาะกับผู้ที่มีระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีผลในการลดความดันโลหิตสูง ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้น และกระเทียมยังเปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะ ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ โรคมะเร็ง และช่วยต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
กระเทียมมีส่วนช่วยลดสภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และลดปัญหาคอเลสเตอรอล
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เกิดโรคหัวใจส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการสะสมเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งกระเทียมมีส่วนช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด โดยไขมันชนิดนี้เป็นสาเหตุหลักในการก่อให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด จากการวิจัยพบว่าสารประกอบซัลเฟอร์ในกระเทียม โดยเฉพาะอัลลิซิน สามารถลดปริมาณโคเลสเตอรอลรวม และ โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL-cholesterol) ได้ดี
สำหรับ กรณีผู้ที่มีปัญหาระดับไขมันโคเลสเตอรอลสูงมากกว่า 210 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรเสริมด้วยน้ำมันสกัดจากถั่วเหลือง หรือเลซิติน ควบคู่กับน้ำมันกระเทียมสกัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดให้ดียิ่งขึ้น แต่ กรณีผู้ที่มีปัญหาระดับไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงทั้งคู่ ควรเสริมด้วยน้ำมันปลา โอเมก้า-3 ควบคู่กับน้ำมันกระเทียมสกัด จะช่วยลดไขมันทั้งโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ได้อย่างดี รวมทั้งน้ำมันปลายังมีผลในเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) ที่มีหน้าที่ในการนำพาไขมันโคเลสเตอรอล ที่สะสมและอุดตันในหลอดเลือดกลับไปทำลายหรือเผาผลาญที่ตับ ดังนั้นหากสามารถเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) เพียง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 3-4% ส่วน การทดลองทางคลินิกพบว่าเมื่อให้น้ำมันหอมระเหยจากกระเทียมกับคนปรกติและคน ไข้โรคหัวใจที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูง ในขนาด 0.25 มก./น้ำหนักตัว 1 กก. เป็นเวลา 10 เดือนพบว่าระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง นอกจากนี้เมื่อให้กระเทียมสดกับคนไข้ที่มีไขมันในเลือดสูงในขนาดครั้งละ 25 กรัม วันละ 3 เวลา เป็นเวลา 25 วัน พบว่า 1/3 ของคนไข้มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาพจากสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรคช่วย ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดได้ถึง 58%เพราะการมีไขมันสะสมที่หลอดเลือดมากเกินไป จนก้อนไขมันเกิดการแตกตัว จะส่งผลกระตุ้นให้เกิดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เพื่อมาปิดก้อนไขมันที่แตกออก ทำให้หลอดเลือดเกิดการอุดตัน ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบบพลัน หรือสมองขาดเลือด จนเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
กระเทียมมีส่วนช่วยลดสภาวะความดันโลหิตสูง
จากผลวิจัยยังพบว่าน้ำมันกระเทียมสกัดยังช่วยลดการจับแข็งตัวของลิ่ม เลือดกับก่อนไขมันในหลอดเลือดได้เป้นอย่างดี จากการยับยั้งเอนไซม์ Thromboxane ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ง่ายขึ้น
กระเทียมมีส่วนช่วยเสริมภูมิต้านทาน และลดภูมิแพ้
น้ำมันกระเทียมสกัดมี สารอัลลิซิน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ด เลือดขาวเช่น Macrophages และ T-lymphocyte เพิ่มขึ้น เมื่อร่างกายเรามีเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลในการช่วยบรรเทาและลด อาการภูมิแพ้
นอกจากนี้กระเทียมมี ฤทธิ์ที่เปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะ ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จากการทดลองพบว่าผลิตภัณฑ์กระเทียมในรูปแบบต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีผลในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค หลายชนิดรวมทั้งเชื้อ Klebsiella pneumoniae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดบวม และเชื้อ Mycobacterium tuberculosis อันเป็นสาเหตุของวัณโรค โดยเฉพาะเชื้อวัณโรคได้มีการทดลองให้น้ำมันกระเทียมในผู้ป่วยวัณโรคปรากฏว่าได้ผลดี
การ วิจัยยังพบว่าน้ำมันกระเทียมสกัด มีสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เป็นสารจำพวก sulfide ดังนั้นกระเทียมจึงมีส่วนในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการแพ้ต่างๆ และลดอาการเรื้อรังทางระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด หอบหืด ไซนัส หูอักเสบ เป็นต้น และกรณีที่เสริมด้วยการรับประทานวิตามินเช่น วิตามินซีควบคู่กับน้ำมันกระเทียมพบว่าจะช่วยบรรเทาและลดความถี่ของการเกิด โรคภูมิแพ้ เนื่องจากทั้งวิตามินซีและน้ำมันกระเทียมจะเสริมฤทธิ์กันในการกระตุ้นให้ เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวของร่างกายเพิ่มมากขึ้นส่งเสริมให้ภูมิต้านทานของ ร่างกายดีขึ้นอย่างชัดเจน
กระเทียมมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และมีฤิทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
จากการวิจัยพบว่าสาร ตัวหนึ่งในกระเทียมชื่อ S-allylmercaptocysteine ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ถึง 50% และสาร allyl sulfides ช่วยลดการผลิตเอนไซม์ phase 1 ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์และนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งได้ กระเทียมจึงสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ดีเยี่ยม นอกจากนั้นซีลีเนียม (Selenium) ที่พบในกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดอันตรายจากการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเซลล์มะเร็งที่อวัยวะต่างๆ
กระเทียมมีส่วนช่วยลดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
สภาวะอาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องเฟ้อ และท้องอืด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดท้อง เสียดท้องหรือท้องอืด โดยกระเทียมสามารถออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการแน่นจุก เสียด ท้องเสีย และกระเทียมยังมีฤทธิ์ขับน้ำดีทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น
กระเทียมมีส่วนช่วยลดอาการอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
โดยกระเทียมไปออกฤทธิ์ต้านสารสังเคราะห์ Prostaglandin และกระเทียมยังมีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กด้วย
ประโยชน์ด้านอื่นๆของกระเทียม 
นากจากที่กล่าวมา กระเทียมยังมีประโยชน์ต่อการบำบัดรักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ, การเกิดพิษจากโลหะหนัก, หูอักเสบ, น้ำตาลในเลือดสูง, การปรับสภาพ ต่อความเครียด, การได้รับแอลกอฮอล์มากเกินไป, ท้องร่วง นอกจากนี้กระเทียมยังสามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างแรง (major antioxidant) ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อโรคของหลอดเลือด (arterial disease) และโรคเสื่อมต่างๆ (degenerative tissue condition)
สรรพคุณของน้ำมันกระเทียมสกัด Garlic Oil
  1. ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
  2. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
  3. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  4. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
  5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด
  6. ประโยชน์กระเทียม ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  7. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ อาการมึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ
  8. ช่วย ในเรื่องระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มพละกำลังให้มีเรี่ยวแรง
  9. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
  10. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
  11. ช่วยต่อต้านเนื้องอก
  12. กระเทียม ประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
  13. ช่วยป้องกันการเกิดและรักษาโรคโลหิตจาง
  14. ช่วยในการขับพิษ และสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
  15. กระเทียมสรรพคุณช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
  16. สารสกัดน้ำมันกระเทียม มีสารที่มีส่วนช่วยในการละลายลิ่มเลือด
  17. ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
  18. มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
  19. ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล ป้องกันหวัด
  20. ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
  21. ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบ และไซนัส
  22. ช่วยรักษาโรคไอกรน
  23. สรรพคุณ กระเทียมช่วยแก้อาการหอบ หืด
  24. ช่วยรักษาโรคหลอดลม
  25. ช่วยระงับกลิ่นปาก
  26. ช่วยในการขับเหงื่อ
  27. สรรพคุณของกระเทียมช่วยในการขับเสมหะ
  28. ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
  29. มีสรรพคุณช่วยในการขับลม
  30. ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  31. ช่วยป้องกันโรคท้องผูก
  32. ช่วยรักษาโรคบิด
  33. กระเทียบ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
  34. ช่วยในการขับพยาธิได้หลายชนิด เช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน เป็นต้น
  35. ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้
  36. ช่วยป้องกันการเกิดโรคไต
  37. ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่างๆ รวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะและบริเวณเล็บ
  38. ช่วยยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดบวม เชื้อวัณโรค เป็นต้น
  39. ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่ว
  40. ช่วยรักษากลาก เกลื้อน
  41. ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูกในร่างกาย
  42. บรรเทาอาการปวดข้อและปวดเมื่อยตามร่างกาย
  43. ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณที่นวดยาได้ดีมากขึ้นนั่นเอง
  44. มีสารต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาติสม์
  45. กระเทียมมีกลิ่นฉุนจึงสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
  46. ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร
  47. มีการนำไปแปรรูปเป็น สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมสกัดผง กระเทียมเสริมอาหาร
**อ้างอิง กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม